การติดตั้ง
สร้าง Image Disk
1. Download image file จาก http://tinycorelinux.net/ports.html2. เขียน image file ลง SD Card ด้วยวิธีที่ถนัดของท่าน ผมเลือกใช้ Etcher
3. Resize partition
ตามภาพจะเห็นว่า piCore มีสอง partition ส่วนที่เป็น fat32 จะเป็นส่วนจัดเก็บ boot loader, system support files ต่าง ๆ เราไม่ต้องไปแตะต้อง ส่วนที่เป็น ext 4 ซึ่งจะเป็นส่วนของ data file เป็นที่อยู่ของ home directory ตรงนี้เขาให้มา 11 MB ใช้ไปเกือบหมด ดังนั้นเราต้องขยายขนาดออกมา เพื่อเอาไว้ติดตั้งอะไรของเราลงไปได้ เนื้อที่ขยายเพิ่มนี้ต้องคำนึงถึงว่า piCore จะใช้เนื้อที่ประมาณ 25 % ของ RAM ทั้งหมดเพื่อไปทำ swap file ดังนั้นหากเราใช้งานบน Raspberry Pi ที่มี RAM 1 GB แล้วจะเหลือพื้นที่จริงไม่ถึง 750 MB (นอกจากเราจะไม่ทำ swap file) ผมเลือกที่จะขยายไปที่ 500 MB ก็พอสำหรับผมแล้ว (ขั้นตอนการขยายเนื้อที่ด้วย command line สามารถอ่านได้ที่ http://tinycorelinux.net/9.x/armv6/releases/RPi/README)
โปรดทราบว่า ในการใช้งานครั้งแรก จะยังไม่สามารถใช้ WiFi ได้เราต้องเชื่อม Raspberry Pi เข้ากับ Network ผ่าน Ethernet Port เท่านั้น
ติดตั้ง WiFi
1. ในครั้งแรกต้องเชื่อมต่อกับ Internet ผ่าน Ethernet port ให้ได้ก่อน2. ติดตั้ง firmware
$ tce-load -wi firmware-rpi3-wireless.tcz
3. Install wifi module
$ tce-load -wi wifi.tcz
รอจนเสร็จการติดตั้ง ควรจะเห็นข้อความ wifi.txz: OK
4. reboot (sudo reboot)
5. ใช้คำสั่ง
$ sudo wifi.sh
จะพบว่ามีการแสดงรายการ WiFi Station ขึ้นมาบนหน้าจอ พิมพ์หมายเลขลำดับที่ ESSID ที่ต้องการ แล้วตอบคำถามตามที่ระบบสอบถาม ทดสอบด้วยคำสั่ง ifconfig wlan0 ท่านควรจะเห็นข้อมูลการเชื่อมต่อกับ WiFi Station ที่ท่านเลือกไว้ และจะเห็นว่ามีไฟล์ชื่อ wifi.db ใน home directory ด้วย (/home/tc) ซึ่งบันทึกข้อมูลการเข้าถึง Wifi Station ไว้ข้างใน6. Auto connect หากท่านทำการ reboot ทันทีหลังจากจบในข้อ 5 แล้ว ข้อมูลการต่อกับ WiFi จะหายไปสิ้น (เพราะเขาทำงานบน RAM) เราต้องการทำการบันทึกข้อมูลนี้ลงบน SD-Card ก่อนเพื่อให้ระบบได้ใช้งานในครั้งต่อไปด้วย
6.1 สร้างไฟล์ wifi.db ไว้ใน home directory (หากมีอยู่แล้ว ก็ทำการ แก้ไขให้เหมาะสม)
$ vi /home/tc/wifi.sh
โดยบันทึกข้อมูล [essid] [password] [type] เช่น ILOVEU 1234567 WPA แล้วบันทึก
6.2 แก้ไข /opt/bootlocal.sh โดยเติมข้อความข้างล่างนี้ในท้ายไฟล์
wifi.sh -a -w 2>&1 > /tmp/wifi.log
6.3 บันทึกการเปลี่ยนแปลงด้วยคำสั่ง
$ filetool.sh -b
6.4 reboot ด้วยคำสั่ง sudo reboot ลองทดสอบด้วยคำสั่ง ifconfigส่งท้ายด้วยการติดตั้ง Application กัน ใน TinyCore หรือ piCore จะใช้ คำสั่ง tce ในการติดตั้งซอฟต์แวร์ครับ (เหมือนกับ apt-get install บน Raspbian) ในการค้นหาว่า มี Software อะไรบ้างจะใช้คำสั่ง "tce" แล้วบนหน้าจอจะขึ้นเมนูขึ้นมา พิมพ์ S (ตัวพิมพ์ใหญ่) แล้วพิมพ์อักษรบางตัวที่เป็นชื่อของ software ที่ต้องการ เช่น ผมพิมพ์ nano เข้าไป ก็จะพบรายการ 3 รายการแสดงออกมาคือ
1. nano-doc.tcz
2. nano-locale.tcz
3. nano.tcz
เลือก 3 เพราะผมต้องการ nano text editor ระบบจะแสดงข้อมูล overview บนหน้าจอ พิมพ์ q ก็จะเห็นเมนู คำสั่งแสดงด้านล่างของจอ พิมพ์ I (ตัวพิมพ์ใหญ่) เพื่อติดตั้ง รอจนติดตั้งเสร็จ พิมพ์ q เพื่อออกจากระบบ ทดสอบด้วยคำสั่ง nano ก็เป็นเสร็จพิธี
มาถึงตรงนี้เราก็มี piCore ที่เป็น RAM-based Linux ทำงานบน Raspberry Pi พร้อมด้วยการติดต่อ Network ผ่าน WiFi และการติดตั้ง application แล้วนะครับ
ปล. piCore รุ่นล่าสุด (9.03) จะ enable ssh มาแล้ว เราสามารถเชื่อมต่อแบบ headless เข้าไปได้ด้วย
username : tc และ password : piCore
Sign up here with your email
ConversionConversion EmoticonEmoticon